top of page
ค้นหา

เทคโนโลยีที่ก้าวหน้า ผลดี หรือ ผลเสีย ?

รูปภาพนักเขียน: HKTHKT

เมื่อเราลองย้อนกลับไปประมาณ 40-50 ปีก่อนที่เทคโนโลยีจะเริ่มเข้ามามีบทบาท เราใช้ชีวิตกันอย่างเรียบง่าย ติดต่อสื่อสารกันด้วยการไปมาหาสู่กัน เขียนจดหมายถึงกัน หรือที่จะสะดวกและรวดเร็วหน่อยก็คือการส่งโทรเลขถึงกัน ส่วนเรื่องเงินๆ ทองๆ นั้น ก็ใช้ธนาณัติในการส่งเงินข้ามจังหวัด ส่วนเวลาจะซื้อของใดก็ใช้เงินสดกันเป็นส่วนมาก และต่อมาเราก็มีธนาคารไว้ใช้ฝาก ถอน และโอน  

เทคโนโลยีที่ก้าวหน้ามีทั้งผมดี และ ผลเสียหลายด้านที่ควรพิจารณา ดังนี้

ผลดี

  1. การเชื่อมโยงและการสื่อสาร

การพัฒนาเทคโนโลยีการสื่อสารทำให้คนสามารถเชื่อมต่อกันได้อย่างเร็วและสะดวก การใช้งานโซเชียลมีเดีย และแอปพลิเคชันการสื่อสารช่วยให้เราสามารถติดต่อสื่อสารกับคนที่อยู่ห่างไกลได้ง่าย ๆ นอกจากนี้ยังช่วยให้ธุรกิจสามารถดำเนินงานได้แบบเรียลไทม์

  1. ความสะดวกในการทำธุรกรรม

เทคโนโลยีทางการเงิน เช่น แอปพลิเคชันธนาคารออนไลน์ และบริการชำระเงินผ่านมือถือ ทำให้การทำธุรกรรมเป็นเรื่องง่ายและสะดวกสบายมากขึ้น ผู้ใช้งานสามารถโอนเงิน จ่ายสินค้า หรือรับเงินได้ภายในไม่กี่วินาที

  1. การเข้าถึงข้อมูล

ข้อมูลต่าง ๆ ในโลกออนไลน์มีให้เราเข้าถึงได้ง่าย ทำให้เราสามารถเรียนรู้และหาข้อมูลได้ตามต้องการ ไม่ว่าจะเป็นการศึกษา ข่าวสาร หรือแรงบันดาลใจ

  1. ความบันเทิงและการรู้จักกับผู้คนใหม่

แพลตฟอร์มการสตรีมมิ่งและเกมออนไลน์ให้โอกาสในการบันเทิงและสร้างมิตรภาพใหม่ ๆ กับผู้คนจากทั่วโลก

 

ผลเสีย

  1. การละเมิดความเป็นส่วนตัว

การเก็บข้อมูลส่วนบุคคลจากผู้ใช้ในสื่อสังคมและแอปพลิเคชันต่าง ๆ อาจทำให้ข้อมูลถูกนำไปใช้ในทางที่ไม่เหมาะสมหรือถูกโจมตีจากแฮกเกอร์

  1. ความเหงาและการสื่อสารที่ไม่เป็นธรรมชาติ

แม้ว่าจะมีการเชื่อมต่อออนไลน์ แต่การสื่อสารแบบดิจิทัลอาจทำให้ผู้คนรู้สึกเหงาหรือขาดการเชื่อมต่อที่แท้จริง

  1. การแพร่กระจายของข้อมูลผิด

สื่อสังคมสามารถทำให้ข่าวปลอมและข้อมูลเท็จแพร่กระจายอย่างรวดเร็ว ส่งผลต่อความเชื่อและการตัดสินใจของผู้คน

  1. ผลกระทบต่อสุขภาพ

การใช้เทคโนโลยีมากเกินไป เช่น การใช้โทรศัพท์มือถือหรือคอมพิวเตอร์อาจส่งผลให้เกิดปัญหาสายตาและอาการเครียด

  1. การว่างงาน

การพัฒนาอัตโนมัติและปัญญาประดิษฐ์สามารถแทนที่งานของมนุษย์ในหลายอาชีพ ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและความเป็นอยู่

  1. ปัญหาทางจิตใจ

การเปรียบเทียบกับชีวิตของคนอื่นในสื่อสังคมอาจทำให้เกิดความไม่พอใจในชีวิตของตนเอง ส่งผลต่อสุขภาพจิต

การพัฒนาเทคโนโลยีจึงควรคำนึงถึงผลกระทบด้านลบเหล่านี้ และหาวิธีการลดความเสี่ยงเพื่อสร้างสังคมที่มีสุขภาพดีและยั่งยืน

      และในยุคที่เทคโนโลยีก้าวหน้าอย่างรวดเร็วแบบนี้ ความสะดวกสบายในการใช้ชีวิตประจำวันก็ตามมาอย่างไม่หยุดยั้ง แต่ยิ่งไปกว่านั้น คือ การเพิ่มขึ้นของอาชญากรรมไซเบอร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการหลอกลวงจาก "สแกมเมอร์" ที่กลายเป็นปัญหาสำคัญในสังคมออนไลน์ในปัจจุบัน


สแกมเมอร์คือใคร?

สแกมเมอร์ (Scammer) คือบุคคลหรือกลุ่มคนที่ใช้กลวิธีต่าง ๆ เพื่อหลอกลวงผู้คน โดยมักมีเป้าหมายในการขโมยข้อมูลส่วนบุคคล หรือหาผลประโยชน์จากเหยื่ออย่างไม่ถูกต้องตามกฎหมาย ผ่านการติดต่อที่ไม่เป็นทางการ เช่น ทางอีเมล์ โทรศัพท์ หรือสื่อสังคมออนไลน์ โดยทั่วไปจะใช้เทคนิคต่าง ๆ เช่น การสร้างความน่าเชื่อถือ การให้ข้อมูลที่ดูเหมือนจริง หรือการสร้างความตึงเครียดในสถานการณ์ เพื่อหลอกให้เหยื่อเชื่อและทำตามคำขอ

รูปแบบของการสแกม

การสแกมมีหลายรูปแบบที่แตกต่างกัน ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็นประเภทหลัก ๆ ได้ ดังนี้

สแกมการเงิน: การหลอกลวงที่เกี่ยวข้องกับเงิน เช่น การส่งอีเมล์จาก "ธนาคาร" ที่ขอให้คุณยืนยันข้อมูลบัตรเครดิต หรือการขอให้โอนเงินไปยังบัญชีของผู้หลอกลวง

ฟิชชิ่ง (Phishing): วิธีการที่ใช้เพื่อให้อินเทอร์เน็ตผู้ใช้เปิดเผยข้อมูลส่วนตัว เช่น รหัสผ่าน โดยสร้างเว็บไซต์ปลอมที่มีลักษณะเหมือนเว็บไซต์ที่คุณใช้งานอยู่จริงๆ

สแกมที่เกิดจากการขายสินค้า: การโฆษณาสินค้าที่ไม่มีอยู่จริง เช่น สินค้าลอกเลียนแบบหรือสินค้าปลอม ที่มีราคาต่ำเกินจริง

การป้องกันตนเองจากสแกมเมอร์

แม้ว่าเทคโนโลยีจะนำมาซึ่งความสะดวกสบาย แต่ก็มีวิธีการบางอย่างที่เราสามารถใช้เพื่อป้องกันตนเองจากสแกมเมอร์ได้

ตรวจสอบแหล่งที่มา: ผู้ใช้ควรตรวจสอบแหล่งที่มาของข้อมูลหรืออีเมล์ที่ได้รับ โดยเฉพาะเมื่อมีความต้องการให้กรอกข้อมูลส่วนตัว

ไม่แชร์ข้อมูลส่วนตัว: ควรระมัดระวังในการแชร์ข้อมูลส่วนตัว เช่น หมายเลขบัตรเครดิตหรือตัวเลขประจำตัวประชาชน

ใช้การตรวจสอบสองขั้นตอน: การเปิดใช้งานการตรวจสอบสองขั้นตอน (Two-factor authentication) จะช่วยเพิ่มชั้นความปลอดภัยให้กับบัญชีออนไลน์ของคุณ

ศึกษาและเรียนรู้: การเข้าร่วมเวิร์คช็อปหรือการศึกษาความรู้เกี่ยวกับการหลอกลวงทางออนไลน์จะทำให้คุณมีความเข้าใจที่มากขึ้นและสามารถป้องกันการหลอกลวงได้ดียิ่งขึ้น

สรุป

ในขณะที่เราก้าวเข้าสู่ยุคดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบ เทคโนโลยีอาจนำมาซึ่งความสะดวกสบายแต่ก็มีความเสี่ยงที่ต้องเผชิญ ด้วยการทำความเข้าใจเกี่ยวกับสแกมเมอร์และการป้องกันตนเอง เราสามารถสร้างความปลอดภัยในโลกออนไลน์ให้กับตัวเราและคนรอบข้างได้มากขึ้น

 

 

 

2.การใช้ AI ในชีวิตประจำวัน

ในยุคดิจิทัลที่ปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence: AI) กลายเป็นพลังขับเคลื่อนที่มีบทบาทสำคัญ ภาพของ Siri, Google Assistant หรือ Alexa กลายเป็นเหมือนเพื่อนที่พร้อมบริการเราตลอดเวลา แอปพลิเคชันต่างๆ ที่เราใช้ทุกวันก็ใช้ AI เพื่อดึงดูดความสนใจให้เข้าไปใช้บริการ AI มีความสามารถในการเปลี่ยนแปลงวิธีการที่เราใช้ชีวิตและทำงานได้อย่างมากมาย ดังนี้:

  • การสื่อสารและการเชื่อมต่อ: AI ถูกนำมาใช้ในการพัฒนาแอปพลิเคชันและแพลตฟอร์มสื่อสาร เช่น โปรแกรมแชทบอทที่ช่วยให้การบริการลูกค้าสะดวกและรวดเร็วยิ่งขึ้น นอกจากนี้ AI ยังช่วยในการแปลภาษาแบบเรียลไทม์ ทำให้การสื่อสารระหว่างผู้คนที่พูดภาษาต่างกันเป็นไปได้อย่างราบรื่น

  • การทำงาน: ในภาคธุรกิจ AI ถูกใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน เช่น การวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) การทำงานอัตโนมัติ (Automation) และการใช้ระบบการจัดการที่มี AI คอยช่วยในการตัดสินใจ ซึ่งช่วยให้บริษัทสามารถลดค่าใช้จ่ายและเพิ่มผลผลิตได้

  • การดูแลสุขภาพ: AI มีบทบาทสำคัญในวงการแพทย์ เช่น การใช้ AI ในการวินิจฉัยโรค การติดตามผู้ป่วยผ่านอุปกรณ์สวมใส่ (Wearable Devices) และการพัฒนายาใหม่ โดย AI สามารถวิเคราะห์ข้อมูลสุขภาพของผู้ป่วยได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ

  • ความบันเทิง: ในด้านความบันเทิง AI ถูกนำมาใช้ในการสร้างเนื้อหา เช่น การสร้างเพลงหรือภาพยนตร์ โดยใช้เทคโนโลยีการสร้างสรรค์ทางปัญญาประดิษฐ์ นอกจากนี้ยังสามารถแนะนำเนื้อหาที่น่าสนใจให้กับผู้ใช้ตามความชอบและพฤติกรรมการรับชม

  • การซื้อขายออนไลน์: AI ช่วยในการปรับปรุงประสบการณ์การช็อปปิ้งออนไลน์ เช่น การแนะนำสินค้าตามพฤติกรรมการซื้อของผู้ใช้ การวิเคราะห์แนวโน้มตลาด และการคำนวณราคาสินค้าแบบเรียลไทม์

จากที่กล่าวมาข้างต้นนั้น จะเห็นได้ว่า Artificial Intelligence (AI) เข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันของเราแค่ไหน ดังนั้น เราควรพิจารณาถึงพลดี และ ผลเสียในการนำมาใช้ เพราะ มีทั้งผลดีและผลเสียที่ควรพิจารณา:

ผลดีของ AI

  • เพิ่มประสิทธิภาพ : AI สามารถทำงานที่ซ้ำซากหรือมีความซับซ้อนสูงได้รวดเร็วและแม่นยำ ทำให้ประหยัดเวลาและทรัพยากร

  • การวิเคราะห์ข้อมูล : AI สามารถวิเคราะห์ข้อมูลจำนวนมากเพื่อค้นหาข้อมูลเชิงลึกที่อาจไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า เช่น การคาดการณ์แนวโน้มตลาด

  • การปรับปรุงการบริการ : AI ช่วยปรับปรุงประสบการณ์ของผู้ใช้ในหลาย ๆ ด้าน เช่น การให้บริการลูกค้าแบบอัตโนมัติผ่านแชตบอท

  • การแพทย์ : AI สามารถช่วยในการวินิจฉัยโรค วิเคราะห์ภาพถ่ายทางการแพทย์ และคาดการณ์การตอบสนองต่อการรักษา

  • การขนส่ง : AI มีบทบาทในเทคโนโลยีการขับขี่อัตโนมัติ ช่วยเพิ่มความปลอดภัยและลดอุบัติเหตุ

ผลเสียของ AI

  • การว่างงาน : AI อาจแทนที่งานของมนุษย์ในหลายอาชีพ ทำให้เกิดปัญหาการว่างงานและความไม่เท่าเทียม

  • ความเป็นส่วนตัว : การใช้ AI ในการเก็บและวิเคราะห์ข้อมูลส่วนบุคคลอาจละเมิดความเป็นส่วนตัวและสร้างความเสี่ยงจากการถูกโจมตีข้อมูล

  • อคติในข้อมูล : AI อาจมีการฝึกฝนจากข้อมูลที่มีอคติ ซึ่งสามารถส่งผลให้การตัดสินใจหรือการประเมินผลไม่ยุติธรรม

  • การพึ่งพาเทคโนโลยี : การพึ่งพา AI มากเกินไปอาจทำให้เกิดปัญหาเมื่อระบบล้มเหลวหรือไม่สามารถทำงานได้ตามที่คาดหวัง

  • ความเสี่ยงด้านความปลอดภัย : AI อาจถูกนำไปใช้ในทางที่ไม่เหมาะสม เช่น ในการพัฒนาอาวุธอัจฉริยะ

 

Artificial Intelligence (AI) จะส่งผลกระทบต่ออนาคตของเราในหลายด้าน ซึ่งรวมถึง:

  1. การเปลี่ยนแปลงในตลาดแรงงาน

การสร้างงานใหม่: AI จะสร้างงานในสาขาใหม่ ๆ เช่น การพัฒนาเทคโนโลยี การวิเคราะห์ข้อมูล และการดูแลระบบ AI

การแทนที่งาน: อาชีพที่มีลักษณะซ้ำซากหรือที่ใช้ข้อมูลจำนวนมากอาจถูกแทนที่ ทำให้ผู้คนต้องปรับทักษะใหม่เพื่อเข้ากับตลาดแรงงาน

  1. การพัฒนาเทคโนโลยี

การพัฒนาอุตสาหกรรม : AI จะขับเคลื่อนนวัตกรรมในอุตสาหกรรมต่าง ๆ เช่น การผลิต การขนส่ง และการดูแลสุขภาพ

การปรับปรุงประสิทธิภาพ : เทคโนโลยีจะทำให้การดำเนินงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น ลดต้นทุนและเวลาในการผลิต

  1. การเปลี่ยนแปลงในชีวิตประจำวัน

ความสะดวกสบาย : AI จะช่วยให้ชีวิตประจำวันสะดวกสบายมากขึ้น เช่น ผู้ช่วยส่วนตัวที่สามารถจัดการตารางเวลาและงานประจำ

การปรับแต่งประสบการณ์ : AI จะช่วยในการแนะนำสินค้าและบริการที่ตรงกับความต้องการของแต่ละบุคคล

  1. ความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัย

ความกังวลเรื่องข้อมูล : การเก็บข้อมูลส่วนบุคคลจะเพิ่มขึ้น อาจเกิดปัญหาความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัยที่ต้องจัดการ

การควบคุม AI : ความต้องการในการกำกับดูแลและมาตรฐานจริยธรรมในการใช้ AI จะสูงขึ้น

  1. การพัฒนาสังคม

การเข้าถึงการศึกษา : AI อาจทำให้การศึกษาเข้าถึงได้มากขึ้นสำหรับผู้คนในพื้นที่ห่างไกล

การวิเคราะห์ปัญหาสังคม : AI สามารถช่วยในการวิเคราะห์และเสนอแนวทางแก้ไขปัญหาสังคม เช่น การจัดการทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม

  1. การสร้างความสัมพันธ์ใหม่

การเปลี่ยนแปลงในสังคม : ความสัมพันธ์ระหว่างคนกับเทคโนโลยีจะลึกซึ้งขึ้น ซึ่งอาจส่งผลต่อการสื่อสารและการติดต่อในสังคม

 

AI จะเป็นเครื่องมือที่มีศักยภาพในการพัฒนาอนาคต แต่การใช้มันอย่างมีจริยธรรมและรับผิดชอบเป็นสิ่งสำคัญที่จะต้องคำนึงถึง



ดู 13 ครั้ง0 ความคิดเห็น

โพสต์ล่าสุด

ดูทั้งหมด

Comments


รับประการทำงานว่าสำเร็จตามเป้าหมาย 100% และมีการคืนเงินตามเงื่อนไขทุกประการ รับประกันโดยทีมงานของทางเรา ติดต่อสอบถามรายละเอียดได้ทางเว็ปไซต์

bottom of page