top of page
ค้นหา
รูปภาพนักเขียนHKT

รู้ทันวิธีการที่แฮกเกอร์ใช้ในการแฮกข้อมูลและวิธีป้องกัน



ในยุคดิจิทัลที่ทุกอย่างเชื่อมโยงกันผ่านอินเทอร์เน็ต การรักษาความปลอดภัยข้อมูลกลายเป็นเรื่องที่มีความสำคัญสูงสุด ผู้คนส่วนใหญ่ใช้เทคโนโลยีในการทำงาน, เรียน, ซื้อขาย และสื่อสารทุกวัน ซึ่งทำให้ข้อมูลส่วนตัวของเราเสี่ยงที่จะถูกโจมตีจากแฮกเกอร์ที่มักใช้วิธีการต่างๆ ในการแฮกเข้าสู่ระบบและขโมยข้อมูลสำคัญ เช่น รหัสผ่าน, หมายเลขบัตรเครดิต, หรือแม้แต่ข้อมูลส่วนตัวที่สามารถใช้ในการกระทำการทุจริตได้

ในบทความนี้ เราจะมาทำความเข้าใจถึง วิธีการที่แฮกเกอร์ใช้ในการแฮกข้อมูล และการป้องกันตัวเองจากการโจมตีเหล่านั้น

1. Phishing (ฟิชชิง) : การหลอกลวงผ่านอีเมลและเว็บไซต์ปลอม

     หนึ่งในวิธีที่แฮกเกอร์ใช้มากที่สุดในการขโมยข้อมูลคือ Phishing หรือการหลอกลวงผู้ใช้ให้เปิดเผยข้อมูลส่วนตัวผ่านช่องทางต่างๆ โดยปกติแล้ว แฮกเกอร์จะส่งอีเมลหรือข้อความที่ดูเหมือนมาจากแหล่งที่เชื่อถือได้ เช่น ธนาคาร, ร้านค้าออนไลน์ หรือเว็บไซต์ที่คุณเคยใช้บริการ เพื่อหลอกให้คุณคลิกลิงก์ที่แนบมา ซึ่งลิงก์นั้นจะนำคุณไปสู่เว็บไซต์ปลอมที่ดูเหมือนเว็บไซต์จริงๆ

แฮกเกอร์มักจะขอให้ผู้ใช้กรอกข้อมูลที่สำคัญ เช่น ชื่อผู้ใช้, รหัสผ่าน, หมายเลขบัตรเครดิต หรือข้อมูลส่วนตัวอื่นๆ เพื่อดึงข้อมูลเหล่านั้นไปใช้ในทางที่ผิด

1.1วิธีป้องกัน

- ตรวจสอบที่มาของอีเมลหรือข้อความเสมอ

- อย่าคลิกลิงก์ในอีเมลที่ไม่รู้จักหรือดูผิดปกติ

- ใช้การยืนยันตัวตนสองขั้นตอน (Two-Factor Authentication) เพื่อเพิ่มความปลอดภัย

 

2. Malware (มัลแวร์): ซอฟต์แวร์ที่เป็นอันตราย

     Malwareคือซอฟต์แวร์ที่ถูกออกแบบมาเพื่อทำลายหรือขโมยข้อมูลจากคอมพิวเตอร์หรืออุปกรณ์ของคุณ แฮกเกอร์จะใช้การดาวน์โหลดหรือการติดตั้งมัลแวร์ผ่านไฟล์ที่ดูเหมือนจะไม่มีอันตราย เช่น ไฟล์ PDF, รูปภาพ หรือซอฟต์แวร์ที่คุณดาวน์โหลดจากอินเทอร์เน็ต

 

มัลแวร์สามารถทำได้หลายอย่าง เช่น

- ขโมยข้อมูลส่วนตัว

- ติดตั้งโปรแกรมที่สามารถควบคุมคอมพิวเตอร์ของคุณจากระยะไกล

- ล็อคไฟล์และเรียกค่าไถ่ (Ransomware)

- ใช้คอมพิวเตอร์ของคุณในการโจมตีระบบอื่นๆ (Botnet)

2.1 วิธีป้องกัน:

- ติดตั้งโปรแกรมป้องกันไวรัส (Antivirus) และมัลแวร์

- อย่าดาวน์โหลดไฟล์จากแหล่งที่ไม่น่าเชื่อถือ

- อัปเดตซอฟต์แวร์เป็นประจำเพื่อปิดช่องโหว่

 

3. Man-in-the-Middle Attack (MITM) : การดักจับข้อมูล

     Man-in-the-Middle (MITM) คือการโจมตีที่แฮกเกอร์แทรกตัวเข้ามาอยู่ในระหว่างการสื่อสารระหว่างผู้ใช้กับเว็บไซต์หรือเซิร์ฟเวอร์ โดยทำการดักจับข้อมูลที่ส่งผ่านเครือข่าย เช่น ข้อมูลที่คุณกรอกลงในฟอร์มออนไลน์ หรือข้อมูลการทำธุรกรรมทางการเงิน

แฮกเกอร์สามารถเปลี่ยนแปลงข้อมูลที่ถูกส่งไป หรือขโมยข้อมูลที่สำคัญ เช่น รหัสผ่าน หรือหมายเลขบัตรเครดิต

3.1 วิธีป้องกัน

- ใช้การเชื่อมต่อที่ปลอดภัย (HTTPS) เมื่อเข้าสู่เว็บไซต์

- หลีกเลี่ยงการใช้ Wi-Fi สาธารณะในการทำธุรกรรมที่สำคัญ

- ใช้การเชื่อมต่อ VPN (Virtual Private Network) เพื่อเพิ่มความปลอดภัย

 

 

 

4. Brute Force Attack (การโจมตีแบบเดารหัสผ่าน): การเดารหัสผ่านด้วยพลังการคำนวณ

     Brute Force Attackคือวิธีการที่แฮกเกอร์จะใช้โปรแกรมเพื่อเดารหัสผ่านโดยการลองทุกๆ ความเป็นไปได้จนกว่าจะหาคำตอบถูก การโจมตีแบบนี้มักใช้ได้ผลในกรณีที่รหัสผ่านของผู้ใช้ไม่ซับซ้อนหรือใช้รหัสผ่านที่คาดเดาได้ง่าย เช่น "123456" หรือ "password"

การโจมตีประเภทนี้สามารถเกิดขึ้นได้กับเว็บไซต์ที่มีการเก็บข้อมูลรหัสผ่านแบบไม่ปลอดภัย หรือไม่จำกัดจำนวนครั้งในการลองรหัสผ่าน

4.1 วิธีป้องกัน

- ใช้รหัสผ่านที่ยาวและซับซ้อน รวมถึงการใช้ตัวอักษรใหญ่, เลข, และสัญลักษณ์

- เปิดใช้งานการยืนยันตัวตนสองขั้นตอน (Two-Factor Authentication)

- ใช้โปรแกรมจัดการรหัสผ่าน (Password Manager) เพื่อจัดเก็บรหัสผ่านที่ปลอดภัย

 

5. SQL Injection (การโจมตีด้วยการแทรก SQL) : การโจมตีที่ฐานข้อมูล

SQL Injection คือการแทรกคำสั่ง SQL ที่เป็นอันตรายเข้าไปในระบบฐานข้อมูลของเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชันเพื่อให้แฮกเกอร์สามารถเข้าถึงหรือเปลี่ยนแปลงข้อมูลในฐานข้อมูลได้ ตัวอย่างเช่น การดึงข้อมูลของผู้ใช้ทั้งหมด หรือการลบข้อมูลจากฐานข้อมูล

แฮกเกอร์สามารถใช้วิธีนี้ในการขโมยข้อมูลของลูกค้าหรือเปลี่ยนแปลงข้อมูลทางการเงินในระบบได้

5.1วิธีป้องกัน

- ใช้เทคนิคการป้องกัน SQL Injection เช่น การใช้ Prepared Statements หรือ Parameterized Queries

- ตรวจสอบข้อมูลที่ผู้ใช้ป้อนเข้ามาให้ละเอียด

- อัปเดตซอฟต์แวร์และฐานข้อมูลอย่างสม่ำเสมอ

 

6.ผลกระทบจากการแฮกข้อมูล

 

     การถูกแฮกข้อมูลไม่เพียงแต่ส่งผลเสียต่อความเป็นส่วนตัวของบุคคล แต่ยังส่งผลกระทบต่อความมั่นคงทางการเงินและชื่อเสียงขององค์กรหรือบุคคลนั้นๆ การขโมยข้อมูลส่วนตัวสามารถนำไปสู่การใช้ข้อมูลเพื่อการฉ้อโกงทางการเงิน หรือแม้กระทั่งการแอบอ้างตัวตนของผู้ใช้เพื่อการกระทำที่ผิดกฎหมาย

นอกจากนี้ การแฮกยังอาจทำให้ระบบขององค์กรล่มหรือข้อมูลสำคัญสูญหาย ซึ่งส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจ

 

7.วิธีป้องกันตัวเองจากการแฮก

     เพื่อป้องกันไม่ให้ตัวเองตกเป็นเหยื่อของแฮกเกอร์ ผู้ใช้ควรระมัดระวังในการใช้เทคโนโลยีและปฏิบัติตามคำแนะนำดังนี

- ใช้รหัสผ่านที่มีความซับซ้อนและเปลี่ยนบ่อยๆ

- เปิดใช้การยืนยันตัวตนสองขั้นตอน

- ติดตั้งโปรแกรมป้องกันไวรัสและอัปเดตซอฟต์แวร์ให้ทันสมัยเสมอ

- หลีกเลี่ยงการเชื่อมต่อกับเครือข่าย Wi-Fi สาธารณะที่ไม่ปลอดภัย

- อย่าคลิกลิงก์หรือดาวน์โหลดไฟล์จากแหล่งที่ไม่รู้จัก

 

สรุป

     การแฮกข้อมูลไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นแค่ในโลกไซเบอร์ของคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง แต่เป็นภัยคุกคามที่ทุกคนต้องระมัดระวังในโลกออนไลน์ที่เชื่อมโยงกันอย่างกว้างขวาง การทำความเข้าใจเกี่ยวกับวิธีการที่แฮกเกอร์ใช้และการเรียนรู้วิธีป้องกันตัวเองจากการถูกโจมตีจะช่วยให้คุณรักษาความปลอดภัยของข้อมูลส่วนตัวได้ดียิ่งขึ้น

การใช้เทคโนโลยีอย่างรอบคอบและปลอดภัยเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการป้องกันไม่ให้คุณตกเป็นเหยื่อของการแฮกข้อมูลในโลกดิจิทัลนี้

ดู 11 ครั้ง0 ความคิดเห็น

โพสต์ล่าสุด

ดูทั้งหมด

Comments


bottom of page